6 ขั้นตอนทาสีบ้านเองง่ายๆให้เหมือนมืออาชีพ

Last updated: 26 มิ.ย. 2566  |  204 จำนวนผู้เข้าชม  | 

6 ขั้นตอนทาสีบ้านเองง่ายๆให้เหมือนมืออาชีพ

รู้หรือไม่? ใคร ๆ ก็ทาสีบ้านเองได้! สำหรับคนที่เบื่อสีเก่าอยากเปลี่ยนสไตล์ใหม่ให้ไม่จำเจ แล้วอยากทาสีด้วยตัวเองไม่ต้องเสียเงินจ้างใคร วันนี้เบเยอร์มีวิธีการทาสีบ้านเองง่าย ๆ แบบมือใหม่ให้สวยงามไม่แพ้ช่างมืออาชีพมาฝากกัน บอกเลยว่าไม่ยากอย่างที่คิด ลองไปทำความเข้าใจ และเริ่มทำดูกันได้เลยผ่าน 6 ขั้นตอนดังต่อไปนี้

6 ขั้นตอนทาสีบ้านเอง เริ่มต้นอย่างไรดี

1.ตรวจสอบสภาพพื้นผิวของบ้านคุณ

ขั้นตอนแรกสุดคือ เราต้องดูสภาพพื้นผิวของบ้านว่าเป็นแบบไหน เพราะว่าการทาสีบ้านเก่ากับบ้านใหม่เพิ่งสร้าง จะมีวิธีการดูแลเตรียมพื้นผิว และใช้ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน

อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงบริเวณที่จะทาว่าจะทาภายในบ้าน หรือทาภายนอกบ้าน อีกด้วย เนื่องจากสีทาภายในและสีทาภายนอก จะมีคุณสมบัติบางสิ่งที่แตกต่างกัน เช่น ประสิทธิภาพความทนต่อสภาพอากาศ ยกเว้น สีทาบ้านบางชนิดที่สามารถทาได้ทั้งภายในและภายนอก เช่น BegerCool DiamondShield 15 เป็นต้น

2.เตรียมอุปกรณ์ทาสี มีอะไรบ้าง

ในเมื่อจะทาสีด้วยตัวเอง สิ่งที่ต้องเตรียมนอกจากสี นั่นก็คือบรรดาอุปกรณ์ทาสี อาทิ แปรงทาสี เกรียงทาสี และลูกกลิ้งทาสี รวมถึงเทปกาวที่ใช้สำหรับกั้นพื้นที่ ๆ ไม่อยากให้สีไปเลอะโดน อย่าง ขอบประตู หรือขอบหน้าต่าง เป็นต้น

 เลือกลูกกลิ้งทาสี อย่างไรดี

  อุปกรณ์สุดคุ้นตาที่เหมาะกับการใช้ทาในพื้นที่เป็นวงกว้าง ส่วนใหญ่ที่ขายตามท้องตลาดมี 3 ขนาด ได้แก่ ลูกกลิ้ง 4 นิ้ว, 7 นิ้ว และ 10 นิ้ว

 เลือกแปรงทาสีบ้าน อย่างไรดี

  อุปกรณ์มาตรฐานในการทาสี เหมาะกับการทาในพื้นที่จำกัด ในซอกมุมที่ลูกกลิ้งไม่สามารถทาได้ หัวแปรงมีหลายขนาดตั้งแต่ 1 - 5 นิ้ว และขนแปรงมีหลายแบบ เช่น แปรงขนดอกหญ้า แปรงขนพลาสติก และแปรงขนสัตว์ โดยเราจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับงาน เช่น แปรงทาสี 2.5 นิ้ว จะเป็นขนาดยอดนิยม เป็นต้น

 เลือกเกรียง อย่างไรดี

เกรียงเป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับเกลี่ยพื้นที่ให้เรียบผิวเรียบ แซะปูนเก่า เกลี่ยรอยโป๊ว ขึ้นลายสี โดยเกรียงมีหลายแบบ ได้แก่ เกรียงสามเหลี่ยม เกรียงเกลี่ยโป๊ว และเกรียงเหล็ก BA-43 ทรงเหลี่ยม ที่เหมาะแก่การนำมาขึ้นลายสีพิเศษ เช่น สี Loft ปูนเปลือย

 เลือกเทปกาวกั้นพื้นที่ อย่างไรดี

การเลือกเทปกาวเพื่อใช้ในการทาสีจะต้องดูเรื่องคราบกาวและการทนการซึม กล่าวคือเมื่อลอกออกมาจะต้องไม่ทิ้งคราบกาวไว้ และเมื่อทาสีเนื้อสีจะต้องไม่ซึมเข้าไปข้างใน โดยสามารถหาซื้อตามร้านค้าวัสดุเกี่ยวกับการตกแต่งบ้านทั่วไปได้

3.เตรียมพื้นผิว ทำความสะอาด และซ่อมแซม

การเตรียมพื้นผิวของบ้านแต่ละประเภทนั้นไม่เหมือนกัน กรณีที่เป็นบ้านใหม่จะต้องดูเรื่อง ปัญหาความชื้น ซึ่งค่าที่เหมาะสมจะระหว่าง 14 - 16% (เมื่อวัดด้วยเครื่องวัดความชื้น PROTIMETER) ส่วนถ้าเป็นบ้านเก่าที่ต้องการรีโนเวตใหม่ แล้วมีปัญหาพื้นผิว เช่น หลุดล่อน รอยแตก รอยร้าว รอยซึม เชื้อรา ตะไคร่น้ำ หรือคราบเกลือ คุณจำเป็นต้องทำการซ่อมแซมก่อนที่จะเริ่มต้นทาสีใหม่

 ปัญหาสีหลุดล่อน สีทาบ้านเป็นสินค้าที่มีการเสื่อมสภาพตามอายุงาน ยิ่งต้องเจอสภาพอากาศอันทรหดในประเทศไทยที่ร้อนชื้นสูง หากใช้สีคุณภาพไม่ดี ก็อาจทำให้โป่งพองหลุดล่อนง่าย หากต้องการจะทาสีใหม่จำเป็นต้องแซะลอกสีเก่าออกก่อน

 ปัญหาผนังบ้านแตกร้าวแตกลายงา เป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการที่ผนังปูนเจอความร้อนสูงและไม่สามารถถ่ายเทความร้อนได้ เลยทำให้เกิดรอยร้าวรอยแตกลายงา ซึ่งถ้ารอยแตกร้าวขนาดเล็กมีความกว้างไม่เกิน 1 มิลลิเมตร แนะนำให้ใช้ Beger Acrylic Filler F-200 อุดโป๊วรอยร้าวนั้นก่อน หรือ ถ้ามีรอยแตกร้าวกว้างขนาด 2-10 มิลลิเมตร Beger Acrylic Sealant F-001​ ชนิดยืดหยุ่นสูงแทน

 ปัญหาเชื้อราและตะไคร่น้ำ ปัญหากวนใจประจำหน้าฝน ที่ไม่ต้องทนอีกต่อไป เพราะว่าสามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ เพียงแค่ขัดล้างทำความสะอาด ปล่อยให้พื้นผิวให้แห้งอย่างน้อย 24 ชั่วโมง แล้วทาด้วยน้ำยากำจัดเชื้อราตะใคร่น้ำ เบเยอร์ โมลด์ฟรี เอ็ม-001 จำนวน 1 - 2 เที่ยว ก็พร้อมทาสีใหม่ต่อไป

 ปัญหาคราบเกลือ เมื่อน้ำหรือความชื้นซึมเข้าไปทำปฏิกิริยากับเนื้อปูน แล้วพอแห้งจึงเกิดเป็นคราบขี้เกลือสีขาวอยู่บนพื้นผิว คราบดังกล่าวสามารถขัดล้างให้ทุเลาลงได้ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำควรทาน้ำยาอุดโป๊วที่คุณอาจมองไม่เห็นก่อนจะเริ่มลงสีรองพื้น

4.ทาสีรองพื้น (Primer) ให้เหมาะสมกับพื้นผิว

สีรองพื้น (Primer) คือ สีชั้นแรกที่ใช้ทาบนพื้นผิวก่อนลงสีทับหน้า เพื่อช่วยป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับพื้นผิว เช่น เชื้อรา สีซีดหลุดล่อน รวมถึงช่วยยืดอายุสีให้ติดแน่นอยู่ทนสดใหม่ได้นานกว่าเดิม

ในบ้านปูนจะแบ่งเป็น สีรองพื้นปูนเก่า (บ้านเก่าอายุ 5 ปีขึ้นไป) สีรองพื้นปูนใหม่ (บ้านใหม่ 1 - 3 เดือน) และสีรองพื้นปูนสด (เพิ่งฉาบเสร็จ 2 - 5 วัน)

 เลือกสีรองพื้นอย่างไรดี

อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า พื้นผิวของบ้านมีผลต่อการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้ โดยเฉพาะสีรองพื้นถ้าใช้ไม่ถูกต้องก็ไปอาจลดทอนประสิทธิภาพของสีทับหน้าได้ โดยจะมีวิธีเลือกสีรองพื้นดังนี้

เลือกสูตรสีรองพื้น ได้แก่ สีรองพื้นสูตรน้ำที่กลิ่นอ่อน และสีรองพื้นสูตรน้ำมันที่กลิ่นแรงกว่า โดยทั้งสองสูตรมีการยึดเกาะและความคงทนใกล้เคียงและสามารถนำมาทาได้ทั้งภายในและภายนอก

เลือกสีรองพื้น ซึ่งจะมีทั้งหมดสองสีคือ แบบสีใส เหมาะกับพื้นผิวที่สีเก่าไม่มีปัญหาอะไร และแบบสีขาว เหมาะกับผู้ที่ต้องการจะกลบรอยปัญหาต่าง ๆ จากพื้นผิวเดิม สามารถเลือกได้ตามสภาพผิวเลยครับ

 ดูสภาพปูนของบ้าน

บ้านปูนเก่าอายุ 5 ปีขึ้นไป ควรเลือก สีรองพื้นปูนเก่า เช่น น้ำยารองพื้นปูนเก่า Beger Primer B-1500 , B-1700 , B-2500 , B-2090

บ้านปูนใหม่อายุ 1 - 2 เดือน ควรเลือก สีรองพื้นปูนใหม่ เช่น Beger Primer Pro 100 , BegerCool All Plus Primer #6000

บ้านปูนสดที่เพิ่งฉาบปูนเสร็จใน 2 - 5 วัน ควรเลือกสีรองพื้นอเนกประสงค์ เช่น Beger Primer B-1900 , B-2100 , B-2900 , B-3100 ที่ความชื้นสูงถึง 30 - 40% สามารถทาได้กับพื้นผิวปูนทุกประเภททั้ง ปูนใหม่ ปูนเก่า และปูนสด นั่นเอง

5.ทาสีทับหน้า

เรียกว่าเป็นหัวใจหลักของขั้นตอนทั้งหมดเลยก็ว่าได้ เพราะมันคือสีทาบ้านชั้นสุดท้ายที่จะบ่งบอกสไตล์ของห้องหรือของบ้านที่คุณอยากให้เป็น ผ่านสีสันบนพื้นผิว โดยการเลือกสีทับหน้ามีหลักการพิจารณาใน 5 ส่วน ได้แก่ 1.เฉดสีที่ต้องการ 2.สูตรสีน้ำหรือสีน้ำมัน 3.เนื้อฟิล์มแบบสีด้านหรือสีกึ่งเงา 4.คุณสมบัติพิเศษของสี และ 5.อายุความทนทาน เป็นต้น

เลือกสีทับหน้าอย่างไรดี

 เลือกเฉดสีที่ต้องการ โดยสามารถดูได้จาก ไอเดียตกแต่งสี ที่มีให้เลือกมากกว่าพันเฉด หรือเพื่อความแม่นยำสูงสุด แนะนำให้ลองดูจากแผ่น Fan Deck หรือแคตาล็อคสี ตามร้านขายสีชั้นนำ ซึ่งจะมีจะตรงกับความเป็นจริงมากกว่าการดูผ่านจอคอม หรือจอมือถือ

 เลือกสูตรสีน้ำ หรือน้ำมัน ในทำนองเดียวกันกับสีรองพื้น สีทาบ้านสูตรน้ำจะมีกลิ่นอ่อนกว่า สูตรน้ำมัน ดังนั้นหากคุณเป็นกังวลเรื่องกลิ่นสีสูตรน้ำจะเหมาะสมกว่า

 เลือกเนื้อฟิล์มของสี ปกติเนื้อฟิล์มสีที่นิยมใช้ในตลาดมีสองแบบ ได้แก่ สีแบบด้านเนื้อเนียนเรียบง่ายไม่สะท้อนแสง และสีแบบกึ่งเงา (Semi-Gloss) ที่จะให้สไตล์โกลว์โชว์ความหรู และเช็ดล้างได้ง่ายกว่าแบบด้าน

 เลือกคุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ ของสี เดี๋ยวนี้สีไม่ได้มีดีแค่ความสวย แต่ยังช่วยดูแลบ้านและตัวคุณจากมลภาวะต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกได้อีกด้วย เช่น สี  BegerCool สีบ้านเย็นที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน ช่วยลดค่าไฟ หรือ สี Beger Air Fresh ที่มีคุณสมบัติช่วยฟอกอากาศ ฆ่าเชื้อโรคได้ เป็นต้น

 เลือกเกรดของสี เกรดของสีวัดจากอายุความทนทาน ซึ่งจะมีหลายเกรด ความทนทานเริ่มต้นตั้งแต่ 3 - 15 ปี ยิ่งเกรดสูงก็จะยิ่งทนทานได้มากกว่า แต่ก็จะมีราคาสูงกว่าด้วยนั่นเอง

เทคนิคที่ควรรู้ กรณีคนที่มีเวลาจำกัด ต้องการเสร็จงานให้ไวที่สุด ขอแนะนำ Beger One Fast & Easy สีทับหน้าผสมรองพื้นสูตรพิเศษ ที่ทาเที่ยวเดียวจบทุกขั้นตอน ด้วยเทคโนโลยี Max Cover Titanium เนื้อสีแน่น กลบมิด กลิ่นอ่อน แห้งไวใน 45 นาที ทาเสร็จสีแห้งปั๊ปเข้าอยู่ได้เลย

6.เก็บงานและตรวจความเรียบร้อย

มาถึงขั้นตอนสุดท้าย หลังจากที่เราทาสีทับหน้ารอบที่สองแล้วปล่อยทิ้งไว้จนสีแห้ง ซึ่งถ้าเป็นสีทาบ้านของ Beger Cool จะแห้งสนิทในเวลา 1 วัน (ในสภาพอากาศปกติ) ให้ลอกเทปกาวกั้นพื้นที่ออก(ถ้าแปะไว้) อาจเก็บขอบสีที่อาจเลอะเข้าไป และตรวจสอบความเรียบร้อยครั้งสุด ว่าสีที่ทามีความเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ถือเป็นอันเสร็จสิ้น

จะเห็นได้ว่าการทาสีบ้านเอง เป็นสิ่งที่ใครก็สามารถทำได้ เพียงแค่ต้องเข้าใจกระบวนการขั้นตอน ต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สีให้ถูกประเภท รวมไปถึงต้องใช้มีเวลาและความอดทนในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าคุณสามารถทำได้ทั้งหมด มันก็จะช่วยคุณประหยัดค่าช่างไปได้เยอะพอสมควรเลยล่ะครับ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้